มีใครเคยสงสัยบ้างไหมว่าสติกเกอร์ประเภทไหนที่เหมาะกับการใช้ติดบนสินค้าของคุณ? ซึ่งสติกเกอร์มีหลากหลายประเภท แต่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะสมการกับใช้งานของคุณล่ะ วันนี้เราขอมาอธิบายคุณสมบัติของสติกเกอร์แต่ละชนิดกัน เพื่อให้คุณประหยัดต้นทุนและเวลามากยิ่งขึ้น มาเริ่มกันเลย!
สติกเกอร์ติดสินค้า หรือฉลากสินค้าถือเป็นตัวช่วยธุรกิจอย่างมาก ตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต่างก็ควรมีฉลากสินค้าเป็นของตัวเอง แล้วสติกเกอร์ติดสินค้ามีข้อดีอย่างไรบ้าง? ทำไมต้องมีด้วยล่ะ? เราจะขอมาอธิบายคร่าว ๆ กัน
แสดงความน่าเชื่อถือ – การติดสติกเกอร์ หรือฉลากสินค้าบนผลิตภัณฑ์ของคุณจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือของตัวสินค้า และผู้ผลิต เพราะถ้าหากมีปัญหา หรือเกิดข้อสงสัยก็สามารถติดต่อได้เลย จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจมากยิ่งขึ้น
สร้างภาพจำ – สติกเกอร์ติดสินค้าช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้สินค้าโดดเด่น สวยงาม สะดุดตา เป็นที่จดจำ และดึงดูดผู้บริโภคได้มากขึ้นอีกด้วย ทำให้บางครั้งแค่เห็นสติกเกอร์ก็นึกถึงแบรนด์สินค้านั้นๆ ได้แล้ว
เพิ่มมูลค่าสินค้า – เมื่อแพ็คเกจ และดีไซน์ของผลิตภัณฑ์น่าสนใจแล้ว การออกแบบสติกเกอร์ให้ดูดี ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าของคุณได้ทันที และการเลือกใช้ประเภทของสติกเกอร์ให้เหมาะสมก็จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
แสดงข้อมูลชัดเจน – สติกเกอร์ หรือฉลากสินค้าที่ดีควรบอกรายละเอียดของสินค้าให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงข้อควรระวัง และลดการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้สินค้าที่ผิดวิธี
สติกเกอร์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ สติกเกอร์กระดาษ และสติกเกอร์ฟิล์มพลาสติก โดยสติกเกอร์แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติ และการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
สติกเกอร์กระดาษ (Paper Sticker) เหมาะกับสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เสี่ยงโดนน้ำ เพราะสติกเกอร์ประเภทนี้ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% แต่สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส จึงเหมาะกับการติดสินค้าประเภทขนมเบเกอรี่ อาหาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องสำอาง เป็นต้น โดยสติกเกอร์ชนิดนี้ราคาค่อนข้างถูกกว่าสติกเกอร์ชนิดอื่น ๆ จึงได้รับความนิยมในท้องตลาดเป็นอย่างมาก
สติกเกอร์กระดาษขาวมัน – สติกเกอร์กระดาษขาวมัน (Glossy Sticker Paper) มีลักษณะเงางาม สามารถทนความชื้นได้มากกว่าสติกเกอร์กระดาษชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ยังให้ภาพที่คมชัด สวยงาม
สติกเกอร์กระดาษขาวด้าน – สติกเกอร์กระดาษขาวด้าน (Matt Sticker Paper) เนื้อกระดาษของสติกเกอร์ มีลักษณะที่หยาบ คล้ายกับกระดาษทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันดี
สติกเกอร์กระดาษคราฟท์น้ำตาล – สติกเกอร์ชนิดกระดาษคราฟท์นำตาล (Kraft Sticker Paper) เนื้อกระดาษมีลักษณะหยาบเล็กน้อย และมีสีน้ำตาล เมื่อนำไปติดลงบนสินค้าของคุณจะช่วยสร้างความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะเนื้อกระดาษสามารถย่อยสลายได้
สั่งซื้อสติกเกอร์กระดาษ >> https://bit.ly/3EuwPjC
สติกเกอร์ฟิล์มพลาสติกแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่วันนี้เราจะขอมาพูดถึง 3 ประเภทหลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมกัน ได้แก่ สติกเกอร์ PVC, สติกเกอร์ PP และสติกเกอร์ PET สติกเกอร์ประเภทนี้ใช้งานได้ง่าย สามารถใช้ได้เกือบทุกผลิตภัณฑ์เลยก็ว่าได้ สติกเกอร์เหล่านี้มีพื้นผิวให้เลือกทั้งแบบขาวใส ขาวด้าน ขาวมัน และเงินเงา
สติกเกอร์ PVC – สติกเกอร์พีวีซี (Polyvinylchloride Sticker) สามารถกันน้ำได้ 100% ทนความร้อนได้ 40-60 องศาเซลเซียส ฉีกขาดได้ยาก ทนต่อสภาพอากาศ และยืดหยุ่นโค้งงอได้ดี เหมาะสำหรับฉลากบรรจุภัณฑ์ที่มีความโค้งงอ เช่น ขวดครีม, ขวดน้ำ, ขวดแชมพู, หลอดเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับงานไดคัทสติกเกอร์กระจก ติดรถยนต์
สติกเกอร์ PP – สติกเกอร์พีพี (Polypropylene Sticker) สามารถกันน้ำได้ 100% ทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าสติกเกอร์ PVC และทนต่อการฉีกขาด สติกเกอร์ชนิดนี้สามารถเข้าไมโครเวฟได้ แช่แข็งได้ เหมาะสำหรับติดลงบนบรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น กล่องอาหาร, กล่องบรรจุเนื้อสัตว์, ถ้วยไอติม เป็นต้น
สติกเกอร์ PET – สติกเกอร์พีอีที (Polyethylene Terephthalate Sticker) สามารถกันน้ำได้ 100% เช่นกัน แต่สติกเกอร์ฟิล์มพลาสติกชนิดนี้จะสามารถทนต่อความร้อนได้สูง และทนต่อสารเคมีได้ดี จึงเหมาะกับการติดลงบนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และบรรจุภัณฑ์สารเคมี เป็นต้น
สั่งซื้อสติกเกอร์ฟิล์มพลาสติกชนิดต่างๆ และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้แล้วที่ >> https://bit.ly/3SWfFjm
สติกเกอร์ คลิกที่นี่ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LINE
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า